diaryland archives guestbook

Links Hinghoi Moo+ Nitchawan P'Puk Peerada Evil

20.06.2002 - 7:09 p.m.

วันนี้มาเล่าต่อ ถึงการไปดูบอลโลกแมตช์บราซิล ฉันไปถึงสนามสุวอน แค่ระหว่างทางไปสนาม ก็เห็นคนใส่เสื้อสีเหลือง(เหมือนพวกฉัน) หน้าตาเอเซีย และบราซิลแท้ มากันเต็มไปหมด


รูปสนาม


สาวบราซิล


หนุ่มบราซิล

เรื่องที่ไม่น่าเชื่อเรื่องหนึ่งก็คือ พวกเราซื้อตั๋วดูบอลมา 5 ใบ แต่ว่าพี่เจ้าของตั๋วคนนึงแกเกิดมาไม่ได้ เลยมีตั๋วเหลือใบนึง เราก็คิดกันว่าจะเอาตั๋วไปขายหน้างาน แต่ว่าพอไปถึง ดูไม่มีใครซื้อขายตั๋วกันเลย ทุกคนดูจะมีตั๋วครบกันหมด พวกเราก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ฉันก็เลยควักเอาตั๋วออกมาจากกระเป๋า แล้วพูดเล่นๆว่า สงสัยต้องติดป้ายขาย แล้วก็ชูตั๋วให้สูงเผื่อคนสนใจ ไม่น่าเชื่อเลยว่า ยังพูดไม่ทันจบ ก็มีพ่อลูกชาวเกาหลีเดินเข้ามาหาฉันแล้วถามว่า ขายตั๋วเหรอ เท่าไหร่ล่ะ เราก็หันไปคิดกันเล็กน้อย M เลยบอกว่าเอาแค่ 50,000 วอนละกัน (ตั๋วมันราคา 60 ดอลล่า) ก็เท่ากับขาดทุนไม่มาก (ฉันยังคิดว่าได้ครึ่งราคาก็ดีถมแล้ว ตอนแรกแทงศูนย์ด้วยซ้ำ) แต่ว่าดูพ่อกับลูกชายที่มาซื้อเค้ามีความสุขมาก รีบจ่ายเงินเลย คงคิดว่าเราจะโก่งราคามั๊ง แต่ว่าพวกเราก็ดีใจเช่นกัน ไม่ใช่ว่าขายตั๋วได้ แต่ว่าเห็นหน้าพ่อลูกเค้าดูมีความสุขมาก :)

ที่ไม่น่าเชื่อเลย คือระหว่างทางนั่นเอง พวกเราก็เจอ พี่ถั่วแระกับพวก ในสนาม พวกเราเลยรีบปรี่ไปขอถ่ายรูป พวกพี่ๆเค้าก็น่ารักมากเลย เนื่องจากพี่เค้าแต่งชุดไทยมา พี่เค้าเลยเด่นมาก เลยมีคนมาขอถ่ายรูปเค้าเพียบ พี่เค้าก็อุตส่าห์กันคนให้พวกเราคนไทยได้ถ่ายกับเค้าก่อน


ขนาดกันคนแล้วนะยังมีแขกมาเสื้อฟ้ามาแจมจนได้

ฉันว่าพวกที่มาขอถ่ายรูปกับพี่เค้าอาจเกิดการสับสนเพราะว่าธงชาติของคอสตาริก้า หน้าตาเหมือนธงไทยเปี๊ยบ ต่างกันที่ ตรงกลางเค้ามีสัญลักษณ์เล็กๆ ทีนี้พี่ถั่วแระ แกถือธงไทยมา คนเลยนึกว่าเป็นกองเชียร์คอสตาริก้าแน่เลย อย่าว่าแต่พี่ถั่วแระ ฉันเองก็หลงเหมือนกัน ดูที่หมวก (หมวกนี้อุตส่าห์ทำเองกับมือ ตอนแรกทำให้ M ก่อน แล้วก็เหนื่อยมาก กะว่าจะเลิกทำแล้ว แต่พี่แกยื่นคำขาดว่า ถ้าเธอทำใบเดียว ฉันจะไม่ใส่ เลยกัดฟันทำให้เสร็จ) ฉันครีเอทเองกะว่าจะให้เป็นลายธงไทย แต่พอเข้าสนาม คนอเมริกันที่นั่งข้างๆ (แกใส่เสื้อบราซิล) ถามว่าพวกเธอเชียร์ทีมอะไรกันแน่ ฉันเลยบอกว่าบราซิล แต่ว่าฉันมาจากไทยแลนด์ ธงชาติมันเหมือนกันเฉยๆ


หมวกทำเองกับมือ

ในสนามฝั่งที่พวกเรานั่ง เค้ากะจะให้เป็นฝ่ายกองเชียร์คอสตาริก้า เลยมีธงแจกให้โบก แต่ว่าตอนหลัง แดดร้อนมาก ฉันเลยเอามาคลุมหัวแทน



ติดขอบสนาม

พอหลังจากนั้น แน่นอน ฉันก็กรี๊ดกร๊าดเชียร์โรนาลโด้เต็มที่(แต่ว่าน้องหมีเรียกเค้าว่าพี่เหยิน ฉันเลยเผลอเรียกตามไปด้วย)

ถ่ายรูปพี่เหยินชัดๆไม่ได้ เพราะว่า ตั๋วของเรานั่งหลังโกล์ (ถึงหลังโกล์แต่ก็ติดขอบสนามเลย) ปรากฎว่าดวง(ซวย)ของพวกเราที่ได้ที่นั่งฝั่งนี้ ก็คิดดูว่าแมตช์นี้มีการทำประตูกันถึง 6 ประตู แต่ว่าทำประตูฝั่งฉันแค่ ประตูเดียวเอง ฉันบ่นว่าเราน่าจะเสียเงินแค่ 30 ดอลล่า แล้วฝั่งตรงข้ามควรเสีย 90 ดอลล่า ถึงจะถูก

พอออกมาจากสนาม กองเชียร์บราซิลก็ดีใจกันยกใหญ่ มีการเดินพาเหรดด้วย ส่วนลุงคนนี้ก็วิ่งถือถ้วยแชมป์


มีผู้แพ้(ทีวีจากคอสตาริก้ามาสัมภาษณ์)


ก็ต้องมีผู้ชนะ(ลุงวิ่งถือถ้วยแชมป์)



นี่แหละสีสันบราซิล

หลังจากแมตช์เลิกก็ประมาณหกโมง พวกเราก็เริ่มหิวโซ เพราะว่าไม่ได้กินข้าวกลางวัน เลยเดินเล่นแถวๆไม่ไกลจากสนาม มองหาอาหารกิน ก็เจอร้านขายหมูย่าง (เดาว่าหมูย่างเพราะว่าเห็นในร้านมีเตา และก็มีสัญลักษณ์หมูหน้าร้าน) เข้าไปก็เริ่มงง ไม่รู้จะสั่งอะไรดี เห็นเมนูที่ติดอยู่ข้างฝาก็อ่านไม่ออก ป้าเจ้าของร้านก็พยายามอธิบาย ฉันเลยพูดว่า เดจิ(จำได้ว่าแปลว่าหมู) ป้าเจ้าของร้านเลยดีใจมาก บอกว่าใช่ๆ แล้วแกก็รีบไปจัดอาหารมาให้ ระหว่างรออาหาร ลุงชาวเกาหลีสองคนที่นั่งกินอยู่กอ่นก็รีบเรียกพวกเราให้มาลองชิมอาหารที่แกสั่งมาดู ตา M จอมตลกบริโภครีบปรี่เข้าไปกินกับลุงก่อนเลย ลุงแกก็น่ารักมาก แกทำหมูย่างให้เรากิน แล้วก็บังคับให้ดื่มเหล้ากับแกด้วย(ฉันจิบไปนิดหน่อย)

พอหลังจากนั้น อาหารก็มา เป็นหมูมากมายหลายแบบ หั่นมาชิ้นใหญ่มาก เราก็เริ่มปิ้งเลย พอสุกก็ห่อใบผักกาดราดน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวเผ็ด เตรียมจะกิน ป้าเจ้าของร้านกับลูกชายรีบวิ่งมาห้าม พร้อมกับถือกรรไกรมา ที่แท้หมูน่ะมันชิ้นใหญ่ เค้าต้องตัดให้มันเล็กก่อนกินน่ะ (แต่ว่าพวกเราหิวโซ เห็นว่าชิ้นใหญ่ยิ่งดีใจ :P ) ร้านนี้ น่ะ พอกินหมูย่างในเตาหมด ป้าแกรีบเอาหมูลงปิ้งให้ต่อ ไม่รู้มันเป็นธรรมเนียมเกาหลีรึเปล่า(รึเปล่ากุ้ง) เรียกว่าต้องรีบๆกินมาก กลัวหมูไหม้ น้องหมีบอกว่าเค้าอาจรำคาญพวกเราเลยรีบไล่ แต่การกลับไม่เป็นดังนั้น พอกินเสร็จ ป้าแกยังมีการเสิร์ฟเมลล่อนเกาหลี กับ มะเขือเทศ(ที่นี่เค้ากินมะเขือเทศกันเป็นผลไม้)ต่อ ให้เรานั่งสบายๆไม่เห็นไล่เลย ส่วนกิมจิและอาจาดต่างๆ ร้านที่เกาหลีทุกร้านเค้าจะเสิร์ฟ ไม่อั้น อร่อยมาก อยู่เกาหลีนี่รับรอง ไม่มีท้องผูก พอตอนจ่ายเงิน ราคาถูกมากๆเลย ประมาณคนละหมื่นวอน (สามร้อยสามสิบบาท) เลยถ่ายรูปป้าเจ้าของร้านมาด้วย ที่แกใจดีไม่โขกนักท่องเที่ยว


ก่อนกลับโรงแรม ก็เลยแวะช็อปปิ้งที่เทสโก้ เทสโก้เกาหลีหน้าตาเหมือนที่เมืองไทยมากๆ แล้วคนเกาหลีก็มีสไตล์การแต่งตัวเหมือนกับคนไทยมากเน้นเสื้อยืดกางเกงยีนส์ เครื่องประดับทอง ต่างกับคนญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง แค่แวะเทสโก้ พวกเราสี่คนก็พากันซื้อของแล้ว ทั้งของกินของใช้ เห็นอะไรก็ถูกไปหมด :P หลังจากนั้นก็แวะกลับไปนอนโรงแรมจิ้งหรีด

วันต่อมา พวกเราก็พยายามตื่นเช้า เพราะว่าจะเที่ยวชมเมืองกันก่อน ก่อนจะออกจากโรงแรม เราก็พยายามถามเจ้าของโรงแรมว่าเราจะไปขึ้นรถบัสไปเมืองอินจ่อน ไ้ด้ที่ไหน ขนาดว่าที่โรงแรมนี้เค้ามีบริการล่ามทางโทรศัพท์เนื่องจากเป็นโรงแรมที่ทางเวิร์ลดคัพแนะนำ ยังคุยกันแล้วกันอีกไม่รู้เรื่องไปเกือบครึ่งชั่วโมงแน่ะ ฉันเลยบอกลุงเจ้าของโรงแรมให้เขียนชื่อสถานีรถบัสให้หน่อย เดี๋ยวจะเรียกแท็กซี่ไปเอง ก็แค่นี้แหละ เฮ้อ!

แล้วเราก็เรียกแท็กซี่ออกไปเที่ยวสถานที่มีชื่อของเมืองสุวอน มันคือกำแพงเมืองเก่าและป้อม ตามประวัติมีว่า เค้าสร้างกำแพงเมืองไว้ยิ่งใหญ่ทีเดียว เพราะว่าตอนแรกกะว่าจะให้เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของประเทศ แต่ว่าในที่สุดก็เปลี่ยนใจมาเลือกโซลแทน ป้อมเลยไม่ได้ใช้งานอะไร แต่ว่าก็ไม่น่าสงสารเพราะว่าเค้าก็ดูแลรักษาเอาไว้ ตอนนี้ทางยูเนสโก้ ก็จัดให้เป็นมรดกโลกไปแล้ว


รถที่เค้าเอาไว้วิ่งรอบกำแพงเมือง (แต่ว่าเดินจะเร็วกว่า)


รอบกำแพงเมือง


ป้อม


สาวเกาหลีที่คุณครูพามาทัศนะศึุกษา

หลังจากดูป้อมและกำแพงเสร็จ ก็แวะกินลูกชิ้นทอดจ้ะ รสชาติคล้ายกับของไทยมากเลย น้ำจิ้มเผ็ดๆหวานๆ แต่ว่าเป็นเต้าเจี้ยวนะ มาตอนนี้พวกเราก็อยากได้เสื้อสีแดงที่กำลังฮิตที่เกาหลี มันไม่ใช่เสื้อทีม แต่ว่าพ่อค้าเกาหลีหัวใสออกแบบมาขาย เขียนว่า Be the Reds แต่ว่าคนที่หัวใสกว่าคือพวกก็อป เกาหลีนี่ขึ้นชื่อมากเรื่องก็อปปี้(ไม่มี ไรท์) ใครต่อใครพากันใส่เสื้อก็อปราคาถูกนี้ น้องหมีซื้อมาแล้วหน้าสนามตัวละ 9000 won ตั้งแต่เมื่อวาน (พวกเราก็อยากได้ แต่ว่ามันไม่มีไซส์เล็ก) แล้วก็ใส่ข่มพวกเราแต่วัน พวกเราที่เหลืออิจฉาตาร้อนมาก ทีนี้พอเดินผ่านแผงไหน(แผงลอยเกาหลีหน้าตาเหมือนแผงลอยบ้านเราเด๊ะ) เราก็ปรี่เข้าไปดู แม่ค้าพ่อค้าที่นี่ นิสัยเหมือนแม่ค้าไทยมากๆเลย เช่น เสื้อที่เค้าวางขายอยู่มันตัวใหญ่ เราก็ถามเค้าว่าไม่มีไซส์เหรอ แล้วก็ชี้ไปที่แม่ค้าว่าที่แม่ค้าใส่น่ะแหละ แม่ค้าก็พูดกับพวกเราไม่ได้นะ แต่ว่าพอดีภาษาเกาหลี คำว่าซักผ้า(เซ็นตักคุ) มันตรงกับญี่ปุ่น เราเลยเดาได้ว่าแกหมายความว่าซื้อใหญ่ๆเนี่ยแหละไปเถอะ เดี๋ยวซักก็หดเองแหละ (เชื่อกูก็โง่) เราก็เลยถอยฉากออกมา แล้วก็มาบ่นว่าที่ญี่ปุ่นไม่มีนะอย่างนี้น่ะ เค้าจะจริงใจมาก ถ้าลูกค้าใส่ไม่ได้เค้าก็บอกเลยตรงๆ เฮ้อ! แต่ว่าก็ไม่โกรธหรอกค่ะ เพราะว่าชินกับแม่ค้าไทย

จากนั้นก็นั่งรถแท็กซี่ไปสถานีรถบัส ตอนที่นั่งแท็กซี่นี่เอง ฉันก็เอาโน็ตที่เพื่อนจดภาษาเกาหลีคำง่ายๆ และตัวเลขให้มานั่งท่องในใจ ทีนี้น้องหมี อยากท่องมั่ง เลยขอกระดาษไปท่อง ตอนแรกก็ท่องตัวเลขนะ แต่ว่าท่องไปท่องมา เจอคำที่แปลว่า ลดราคาให้หน่อย (kaka Juseyo) แล้วน้องหมีสำเนียงไม่ถูกไง ฉันเลยบอกว่าไม่ใช่ๆ ต้องหยั่งงี้ น้องหมีก็พูดไปพูดมา คนขับแกเลยลองพูดให้ฟัง แล้วแกก็หัวเราะขำพร้อมกับปิดกดมิเตอร์ราคาให้หยุดก่อนรถจะถึงที่ แล้วพูดทำนองว่า "โอเค ลดให้เลย" พวกเรางิขำไอ้น้องหมีกันกลิ้ง มุขที่ไม่ได้ตั้งใจของมันเด็ดจริงๆ

แล้วพวกเราก็นั่งรถบัสข้ามเมืองจากสุวอน ไป อินจ่อน พอไปถึงก็ไปโรงแรม(จิ้งหรีด อีกละ) ดีอย่างที่โรงแรมนี้เจ้าของ(คนแม่)แกพูดภาษาญี่ปุ่นได้ปร๋อ เราก็เลยสบายสื่อสารกันง่าย หลังจากวางกราะเป๋า ฉันก็รีบถามแกว่าที่ทำการไปรษณีย์อยู่ที่ไหน แกก็บอกว่าไม่ไกลหรอก พร้อมกับชี้ไม่ชี้มือ ฉันก็ไม่ค่อยจะเชื่อ อ่านก็ไม่ออกเลยบอกให้แกเขียนแผนที่ แต่ว่าแกดีกว่านั้นอีก แกใช้ให้ลูกชาย(เป็นหนุ่มแล้วแหละ) พาพวกเราเดินไป (ดีนะที่เค้าพาไป มันไกลพอสมควรเลยแหละ และต้องเข้าซอยด้วย ไปเองละ หลงแน่) ไปถึงก็ส่งของให้กุ้ง เจ้าหน้าที่คนสวยก็บริการดีมาก เขียนทุกอย่างให้หมดเลย ไม่มีบ่นซักคำ :)

จากนั้นฉันก็เริ่ม อยากกิน บิบิมบ้า(ออกเสียงตามภาษาญี่ปุ่น) เป็นข้าวเสิร์ฟมาในหินร้อน หน้าตาเหมือนหินที่ใช้ทำครกของไทย แต่ว่าตลาดแถวโรงแรมน่ะ ไม่มีร้านอย่างว่าเลย มีแต่เนื้อย่าง ซึ่งพวกเราก็ยังไม่มีฟิล์ดจะกินน่ะนะ เลยไปเจอร้านนึง ขายอาหารพวกปลา เราก็ไปถามเค้าว่าจะกินบิบิมบ้าได้ที่ไหน เจ้าของร้านแกอุตส่าห์เดินไปถามร้านแถวนั้นให้ แต่ปรากฏว่าไม่มี ป้าๆที่กินอยู่ในร้านแกเป็นเพื่อนเจ้าของร้าน แล้วแกก็พูดภาษาญี่ปุ่นได้ เลยมาเชิญชวนพวกเราให้กิน ร้านนี้แหละ อร่อย แล้วแกก็จัดการสั่งอาหารให้พวกเรา บอกว่าอะไรอร่อย อาหารที่พวกเรากิน มีรสชาติเหมือนแกงส้มปลาช่อนมาก หน้าตาก็เหมือน มีสีส้มๆ รสเผ็ดๆหวานๆ เราก็กินข้าว กับแกงส้ม ปลาย่าง แล้วก็พวกกิมจิ ร้านนี้จะมีเครื่องเคียงหน้าตาเหมือนใบปอผัดกระเทียมมากเลย อร่อยจริงๆ ป้าที่เป็นเพื่อนเจ้าจองร้านแกกลัวพวกเราจะไม่รู้เลยบอกว่า "เครื่องเคียงพวกสลัด กิมจิ ใบปอน่ะ เติมฟรีนะ" พวกเรารีบพร้อมใจกันพูดว่า "สู้ตายค่ะ(ครับ)" ป้าแกเลยขำกลิ้ง หันไปแปลให้เพื่อนๆฟังว่าดูดิ เด็กพวกนี้บอกว่าจะสู้ตาย อาหารก็อร่อยดีนะ แต่ว่าตินิดนึงว่าคนเกาหลีกินกับน้อย ไม่เหมือนคนไทย เป็นพี่ไทยรึ สั่งกันมาล้นโต๊ะแล้วล่ะ

ที่น่ารักอีกอย่างคือว่าคนเกาหลีเค้าจะ เข้มงวดกับการกินมาก ต้องกินให้ถูกหลัก อย่างร้านนี้ พอกินข้าวเสร็จ เจ้าของร้านแกก็เสิร์ฟข้าวตังใส่มาในน้ำร้อน คิดดูก็รู้ว่ารสชาติน่ะมันแสนจืด ฉันก็จัดการ เปิดขวดเกลือ เตรียมโรย เจ้าของแกรีบวิ่งมาบอกว่าห้ามใส่เกลือนะ ไม่ได้ๆ แล้วแอบจ้องดูฉัน ฉันก็เลยทำหน้าเป็นว่า โอย อร่อยจริงๆค่ะ ดีนะ ที่ไม่ใส่เกลือ แต่พอเจ้าของร้านเผลอ น้องหมีรีบตักเกลือใส่ถ้วยตัวเอง ฉันก็รีบแจมทันที "เฮ้ย ส่งมาดีๆนะ แบ่งให้เจ๊ครื่งนึง"


สีส้มในหม้อคือแกงส้มเกาหลีจ้ะ

พอกินเสร็จ M กับน้องหมีก็ขอตัวไปดูบอลก่อน(คู่ญี่ปุ่น) แต่ว่าวันนั้นถึงยังไงญี่ปุ่นก็เข้ารอบ ฉันเลยไม่ดูขอไปเดินตลาด เพราะจะซื้อเสื้อแดงไปดูแมตช์เย็นนี้แอนก็ไปช็อปปิ้งด้วย อินจ่อน นี่อยู่ใกล้กับโซลมาก เปรียบไปก็เหมือนกับเมืองนนท์ของไทย ตลาดที่นี่ก็เหมือนกับตลาดไทยมาก เป็นตลาดสดเลย มีทุกอย่างขายเหมือนไทย ทั้งของกินของใช้ ฉันกับแอนก็เดินเล่นชมตลาด แล้วก็มองหาเสื้อแดง ในที่สุดก็เจอฟากที่ขายเสื้อผ้า เสื้อไซส์เล็กขายแค่ตัวละ 5000 วอน(อยากรู้ราคาบาท ก็เอา .033 คูณ) ตัวใหญ่ 6000 วอน พวกเราเลยซื้อ แล้วเอามาใส่ข่มไอ้น้องหมีกลับ ที่มันซื้อตั้ง 9000 ฮ่า ฮ่า

และแล้วเราก็พากันเดินทางไปสนาม งวดนี้เรานั่งรถไฟใต้ดินกันไป แมตช์นี้มีแต่ฉันกับ M ที่ได้ตั๋ว เพราะว่าพวกเราจองตั๋วก่อน แอนกับหมีกะว่าจะไปหาบัตรเอาหน้างาน แค่ตกเย็น คนก็ใส่เสื้อแดงกับพรึ่บแล้ว(ลูกเจ้าของโรงแรมก็เปลี่ยนเป็นเสื้อยืดแดงอย่างรวดเร็ว ตอนกลางวันยังเห็นใส่เสื้อกั๊กเหมือน พี่ต๋องศิษย์ฉ่อย อยู่เลย) พอรถไฟมาเท่านั้นแหละ คนก็เบียดกันขึ้นรถ เรียกว่าอยู่บนรถแทบไม่ต้องยืน อย่างกับโตเกียวตอนเช้าเลย พอไปถึงสนาม เราก็เริ่มถ่ายรูปและซึมซับบรรยากาศ แล้วหมีกับแอนก็แยกไป เพราะว่าหาซื้อบัตรหน้างานไม่ได้เลย(โถ คู่เกาหลีนี่)


รถไฟใต้ดิน


Oyako


รู้สึกทั้งสนาม จะมีชาวโปรตุเกศอยู่สองคนนี่แหละ :D


เราก็แดง(แต่ว่าหมวกน้ำเงิน)

แล้วเราก็เข้าสนาม แมตช์นี้มีการตรวจตราเข้มงวดมาก ห้ามเอาขวดน้ำเข้าไป เค้ามีแก้วกระดาษให้ใส่น้ำแต่ว่าต้องทิ้งขวด กล้องถ่ายรูปก็ต้องมีการลองถ่ายดูด้วย ตอนแรกเรานึกว่าพวกนักท่องเที่ยวขอให้เจ้าหน้าที่เค้าถ่ายรูปให้ เพราะเห็นมีการยิ้มกันใหญ่ มี say Cheese ที่ไหนได้เค้าเป็นหน้าที่ที่เจ้าหน้าที่ต้องลองถ่าย M หันมาถามฉันว่าเค้าลองถ่ายทำไมเหรอ ฉันเลยตอบว่าก็เค้าจะได้รู้ว่ามันเป็นระเบิดรึเปล่า แบบว่าถ้ากดแล้วบึ้ม ก็จะได้ตายกันตอนนี้ทั้งหมดไง ไม่ต้องไประเบิดในสนาม ประมาณว่าสละชีพเพื่อชาติน่ะเธอ


No Bottles

แล้วเราก็เข้าไปในสนาม บรรยากาศในสนามเนี่ยไม่ต้องบอก สีแดงเต็มพรึ่บไปหมด นี่ก็เป็นข้อดีนะ ของการใช้ของปลอมฉันว่า ก็เสื้อปลอมราคาถูกใครๆก็ซื้อมาใส่ได้ ดูแล้วมีความเป็นยูนิตี้(เป็นหนึ่งเดียว) ที่ญี่ปุ่น คนที่ไปดูแมตช์ญี่ปุ่นก็เห็นใส่เสื้อน้ำเงินกันเหมือนกัน แต่ว่า คนธรรมดาไม่อยากจะใส่หรอก ก็มันไม่มีของปลอม แล้วของแท้ก็แพงมากๆ แพงกว่าเสื้อที่เกาหลี 20 เท่าน่ะ




พอนักกีฬาเกาหลีเริ่มเข้าสนามเท่านั้น เสียงปี่กลองก็เริ่มขึ้น ฉัน, M ก็สวมหัวใจเกาหลีเชียร์อย่างสุดใจกับเค้าด้วย พอกลองมา ตึ้งๆ ตึ้งๆ ตึ้ง ฉันก็ "The Humming Gug แดฮัมมิงกุก" ไปกับเขาอย่างเมามัน แปล๊กแปลก ที่ฉันร้องเพลงเกาหลีเพลงที่เป็นฮัมๆน่ะได้ตั้งแต่ครั้งแรกเลย อย่างกับมีสัญชาติญาณ


The Humming Gug แดฮัมมิงกุก

พอโดนนำทุกคนก็เริ่มจ๋อย แต่พอลูกเข้าโกล์ไปได้นะ สนามแทบแตก คนที่บ้ามากไม่ใช่แค่คนต่างชาติอย่างฉันกับ M กลุ่มชาวต่างชาติแถวหน้าฉัน(สำเนียงแถบอังกฤษ) เอาปี่มาเป่า ตึ้งๆ ตึ้งๆ ตึ้ง ด้วย พอลูกเข้านะ แกรีบหันหน้ามา เช็คแฮนกับทุกคน


กลุ่มคนอังกฤษที่ว่าอยู่ทางซ้ายมือ M

แมตช์นี้ฉันซื้อตั๋วยืน เพราะว่าไม่มีใครยอมนั่งเลย แต่ว่าก็คุ้มจริงๆ ได้ดูจนถึงนักเตะเกาหลีวิ่งมานอนคว่ำหน้าลงกับพื้นให้พวกเรา (เค้าวิ่งมาฝั่งโกล์ไง พอดีซื้อตั๋วถูก เลยถือว่าเค้าทำให้เรา ถ้าซื้อตั๋วแพงก็นั่งกลา่งสนาม ก็ไม่ได้รับการคว่ำหน้าจากนักเตะ ฮิฮิ)


พอแมตช์เลิก ประชาชนต่างยินดีกันทั่วหน้า เสียงเชียร์ร้องกันไปทุกที่ ขนาดคนที่ขับรถยังบีบแตร เสียงดัง แป๊นๆ แป๊นๆ แป๊น เลย ฉันกับ M หิวโซแล้ว เดินหาร้านอาหารก็มีแต่เนื้อย่าง ให้ตายเถอะ คนเกาหลีเค้ากินกันแต่เนื้อย่างละมั๊ง หาจนเหนื่อยเกือบจะถึงโรงแรมแล้วล่ะ ก็เจอร้านนึง เห็นมีคนเยอะมากเลย เลยคิดกันว่าร้านอะไรก็เอาแล้ะล่ะ พอเดิน ไปถึงที่แท้เป็นร้านไก่ย่าง หน้าตาเหมือนไก่ย่างข้าวเหนียวเมืองไทยเลย คนกินกันตรึม ท่าทางจะเป็นร้านดัง เพราะฉันว่าราคาค่อนข้างแพงเลยแหละสำหรับคนเกาหลี เมนูในร้าน มีแต่ไก่ย่าง แต่ว่ามีซ็อสแบบต่างๆเท่านั้น คนในร้านก็กินกันตามสไตล์เกาหลีเลย คือกินกับน้อย สั่งไก่มาตัวนึง ก็กินกันหลายๆคน ข้าวก็ไม่กิน กินกับเบียร์ เบียร์เกาหลีน่ะจืดมากเลย เค้ากินกันแทนน้ำ เหยือกงี้ใหญ่มาก ที่ฉันสั่งมากิน ก็คือไก่ย่างหนังกรอบ ราดซ็อสพริกแบบเกาหลี รสชาติคล้ายๆน้ำจิ้มไก่แบบหวานของบ้้านเราแหละ แต่ว่าเป็นเต้าเจี้ยว ไก่ตัวใหญ่ สองคนกินตัวนึงก็อิ่มเลย ที่พิเศษเลยคือร้านเค้าแจกแตงโมให้ลูกค้ากินฟรี เนื่องจากเกาหลีชนะ (แตงโมที่ญี่ปุ่นกับเกาหลีแพงมาก)

พอกลับไปเจอแอน เห็นเล่าให้ฟังว่าไปเชียร์บอลที่ร้านอาหาร ร้านนั้นกินเท่าไหร่ก็จ่ายหัวละพัน(เพราะเกาหลีชนะ เห็นหมีบอกว่ารู้งี้สั่งอีกดีกว่า) กลับไปก็กะจะนอนน่ะนะ แต่ว่ายายแอนชวนคุย(หรือว่าฉันชวนก็ไม่รู้ล่ะ)กว่าจะหลับได้ก็ตั้งตีสามล่ะมั๊ง พอเช้าขึ้นมา เราก็เริงร่าไปเดินตลาดกันอีก คราวนี้ได้กินบิบิมบ้าสมใจที่ในตลาดนี่เอง บิบิมบ้าของแท้เนี่ยไม่ค่อยมีกับเลยเนอะ กินที่ญี่ปุ่นมีประยุกต์ใส่เนื้อ ใส่ไข่ปลา รู้สึกกินคุ้มกว่า

แล้วเราก็เดินทางไปโซล เพราะว่าหมดแมตช์ที่จะดูแล้ว เหลือแต่เที่ยวโซล เล่าจนเหนื่อย เดี๋ยวค่อยมาต่อตอนเที่ยวโซลละกัน

previous - next