diaryland archives guestbook

Links Hinghoi Moo+ Nitchawan P'Puk Peerada Evil

2002-04-02 - 6:56 p.m.

วันนี้เล่าเรื่องย้อนหลังดีกว่า คือที่เดินทางไปโตเกียวเนี่ย ฉันไม่ได้มีจุดมุ่งหมายจะไปดิสนีย์ำซี ที่ต้องทำก็คือไปพรีเซนต์ ระบบการศึกษาที่นี่ จะมีการกระตุ้นให้นักศึกษาเรียนด้วยตัวเองเยอะมาก อ่านแล้วก็ทำวิจัยหรือการทดลองที่ต้องทำบ่อยมากก็คือการพรีเซนต์ สำหรับฉัน นอกจากมี พรีเซนต์ความก้าวหน้าของงานวิจัยทุกเทอมต่อหน้าอาจารย์ที่เป็นคณะกรรมการแล้ว ยังมีการต้องไปพรีเซนต์ที่ Conference ต่างๆ เวลาที่จะไปพรีเซนต์ ตอนแรกก็ต้องทำงานก่อน(อันนี้ก็ชัวร์แหง) งานที่ทำก็ต้องเป็นงานใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยเฉพาะวิศวะคอมเนี่ย ส่วนที่ยากก็คือ งานที่จะได้รับการยอมรับเนี่ย ต้องเป็นงานที่ผลมันต้องออกมาดีกว่างานเดิมที่เค้าทำกันไว้แล้ว

เวลาไปพรีเซนต์ทุกครั้ง ฉันก็ถือโอกาศไปเที่ยวด้วยเสมอ(จริงๆ การตั้งใจเรียน จุดมุ่งหมายก็คือจะได้ไปเที่ยวถ้างานสำเร็จ)ที่ไปพรีเซนต์นี้ เป็นงาน Inter คือว่าไม่เฉพาะนักศึกษาญี่ปุ่น แต่ว่า มีมาจากทั่วโลก(งานหน้า หาข้อมูลไว้แล้ว คือจะส่งงานไปที่ Conference ที่จัดที่ ริเวียร่า เมืองตากอากาศสุดหรูของฝรั่งเศส แต่ไม่รู้ว่าเค้าจะรับรึเปล่า ฮ่ะ ฮ่ะ ก็ไป present เนี่ยไปฟรี ทางมหาลัยเค้าออกเงินให้นี่นา ก็ต้องเลือกดีๆ หน่อย ขนาดบอกอาจารย์ที่ปรึกษาว่าอยากส่งไปที่ไหน แกยังขำเลย )

ฉันว่ามันดีมากๆ เลยนะ ที่เค้ากระตุ้นให้นักศึกษามีการ present งานที่ตัวเองทำ แล้วเราก็จะได้รู้ไง ว่าคนอื่นเค้าไปถึงไหนกันแล้ว ไม่ใช่มัวงมอยู่กับงานเก่าๆ แล้วพอเราพรีเซนต์งานของตัวเองเสร็จ อาจารย์หรือนักวิชาการจากที่อื่นๆ เค้าก็จะถามคำถาม ที่เราก็จะได้นำมาคิดปรับปรุงงานของเราได้อีกต่อไปด้วย ในเมืองไทยมหาวิทยาลัยต่างๆ น่าจะร่วมมือจัด conference ของแต่ละสายวิชาขึ้นมาบ้าง หรือว่ามีแล้วก็ไม่รู้ แต่ว่าสาย computer น่ะยังไม่เห็นมีเลย ถ้าจะหวังจากฉันก็คงยาก เพราะว่าเรามันคนตัวเล็กๆคนนึงเท่านั้นเอง

เขียนไปเขียนมาฉันดูเป็นคนมีอุดมการณ์ชอบกล อย่ากระนั้นเลยเล่าเรื่องบ้าๆบอๆ อันเป็นนิสัยที่แท้จริงดีกว่า conference ครั้งนี้เห็นรายชื่อคนที่มาจากเมืองไทยหลายคน รวมทั้งอาจารย์จากลาดกระบังด้วย ก็กะว่าจะรอทักแต่ว่า อยู่คนละ session กัน เลยไม่เจอ ใน session เดียวกัน มีคนไทยคนหนึ่งเค้ามาจากเมืองไทย ฉันเห็นเค้าเป็นคนไทยเลยรีบปรี่ไปคุยกับเค้า มา 3-4 วัน แกมาได้วันสองวันแล้ว แต่ว่าแกยังไม่เคยไปไหนเลยนอกจาก จากโรงแรม มา มหาลัย waseda ที่ present

พอฉันบอกว่าเลิก conference ช่วงเช้าประมาณ 11โมง ฉันขอตัวไปเที่ยวต่อล่ะ แกก็บอกว่าจะไปกับใคร ฉันก็บอกว่าไปคนเดียว แกเลยขอไปด้วยฉันเห็นแกเป็นผู้ชายที่เรียบร้อย นุ่มนิ่ม มาก... แล้วแบบยังไม่เคยไปไหนเลย เลยเปลี่ยนแผนที่คิดว่าจะไปเดินชอปปิ้ง แถว ชิบุยะแล้วก็หาของอร่อยกินแค่นี้ก็จะไปสนามบิน เลยเปลี่ยนแผนหมดเลยเพื่อพี่คนนี้ เพราะเห็นใจเค้าว่าให้เที่ยวคนเดียว โดยที่ไม่ได้เตรียมตัวมาเลยแบบแก คงไม่ได้ไปไหนแน่ คนที่นี่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วป้ายอะไรต่อมิอะไรก็เป็นภาษาญี่ปุ่นหมด แล้วพี่แกก็ไม่ได้เตรียมข้อมูลมาด้วยว่าอยากไปเที่ยวไหน ไปไม่ถูกแน่นอน

แรกเลยพาพี่แกไปเก็บของที่โรงแรมแถวชินจุกุ ซึ่งแถวนั้่นเปรียบได้กับอะไรดีล่ะ มันเป็นแหล่งคนทำงานเหมือนแถวสีลม แต่ว่าใหญ่โตกว้างขวางกว่ามากมาย แกยังไม่เคยไปเดินรอบๆเลย เลยพาไปเดินตึกสร้างใหม่ ที่เรียกว่า Time Sqaure ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าใหญ่มาก ฉันก็เห็นว่ามีเวลาพาแกเที่ยวได้ไม่มาก ประมาณ 5-6 ชม เลยไม่ให้แกชอปปิ้งจะพาแกไปดูวัฒนธรรม คือไปวัด (แบบว่าบังคับ เพราะแกบอกว่าไปไหนก็ได้)

วัดแรกที่จะพาไปคือวัดแบบชินโต ไปง่ายมากเพราะลงรถไฟที่ ฮาราจุกุก็ถึงพอดี ก็ไหนๆ ก็มาแล้วเลยพาแกเดินดูแถวนั้น ที่ฮาราจุกุเนี่ยก็เหมือนสยามสแควร์ ก็มีของให้ชอป และก็วัยรุ่น เดินดูซักพักก็ไปวัด วัดเดินเข้าไปลึกได้กว่าจะเข้าไปถึง แล้วก็ไหว้เจ้า ไหว้แบบชินโต ต้องหยอดเหรียญ(เชื่อกันว่าเหรียญที่มีรูเช่นเหรียญ ห้าเยน จะดี แต่ว่าเหตุผลว่าเพราะอะไรก็สืมไปแล้ว) แล้วก็อธิฐาน แล้วก็ตบมือ 2 แปะแทนการไหว้ก็ถ่ายรูปให้พี่เค้าใหญ่ เป็น service เพราะว่าแกไม่มีกล้องมา ฉันเลยเป็นตากล้องให้

แล้วฉันก็โทรไปถาม M ต่อว่าอยากไปวัดที่มีโคมไฟอันใหญ่สีแดงน่ะที่เธอเุคยพาฉันไปน่ะไปยังไง คือว่าที่จริงฉันน่ะเพิ่งมาโตเกียวได้ 5 ครั้งเอง แล้วทุกครั้งก็มีเพื่อนนำเที่ยวตลอด ครั้งนี้อยากทำเก่ง เลยต้องโทรถาม M ตลอด M ก็บอกทางเสร็จเรียบร้อย คือฉันอยากพาพี่เค้าไปเที่ยววัดพุทธต่อ แต่ดันเข้าใจกันผิด M เลยบอกทางไป วัดชินโตอีกที่นึงอีกแต่ว่าโชคดี(ของ M)ที่วัด อยู่ติดกับ พระราชวังพอดี แถวนั้นมี บุโด้คัง แล้วก็เป็นช่วงซากุระบานพอดี เลยได้ชมวิวซึ่งสวยมากๆ เป็นโชคดีของพี่เค้าที่ได้เห็นซากุระบาน เพราะว่ามัันบานแค่ปีละครั้ง ครั้งละ 1 อาทิตย์(แล้วก็เป็นโชคดีของ M ที่ไม่โดนแว๊ดที่บอกให้ไปผิดวัด)

ก่อนแยกกัน เพราะฉันต้องไปสนามบิน ขึ้นเครื่องกลับบ้าน(นอก) มันต้องเปลี่ยนรถไฟที่ชิบุยะ ฉันเลยพาพี่เค้าไปชมแถบนั้นอีก พอดีมีเวลาเหลือฉันเลยชวนแกไปกินกาแฟที่ starbucks เห็นคนนั่งกินอยู่ที่ชั้น2 ฉันก็อ่านป้าย เห็นเค้าเขียนว่า starbucks 1st floorฉันก็นึกในใจว่า แหมที่นี่ใช้ระบบอังกฤษซะด้วย มี ground floor, 1st floorฉันก็รีบเดินไปที่ลิฟท์ กดชั้น 2(มานึกได้ตอนนี้ ทำไมฉันนี่มันโง่จังฟะ) ถึงแล้วก็เดินนำพี่เค้าแบบ พยายามหาทางเข้้าอยู่นาน หาไม่เจอ เลยถามคนแถวนั้นว่า starbucksเนี่ยมันเข้าทางไหนเหรอ สาวญี่ปุ่นก็มองหน้าฉันงงๆ แกมสมเพช ตอบว่าก็ ชั้น 1 ไง ฉันก็ยังเถียงแบบโง่ๆว่า ก็มันไม่มีทางเข้านี่ เค้าก็เลยบอกว่า เธอต้องซื้อกาแฟที่ชั้น 1 แล้วถึงถือขึ้นไปกินที่ชั้น 2 น่ะ โธ่ ที่แท้มันก็ชั้น1,2 จริงๆ ไม่มี first floor ground floor

พอแยกกัน ฉันแบบว่าเหนื่อยมากๆ ก็คิดดูว่าเดินตลอดไม่มีหยุดเลยแล้วฉันแบกเป้ที่ใส่เสื้อผ้าด้วย แล้วเดินเร็วด้วย ประมาณสปีดคนญี่ปุ่น นั่งเครื่องบินกลับมาถึงแทบเดินกลับบ้านไม่ไหว แล้วพอวันต่อมาปวดขา ปวดเอวไปหมดเลย

previous - next