diaryland archives guestbook

Links Hinghoi Moo+ Nitchawan P'Puk Peerada Evil

03.03.2003 - 1:58 p.m.

ว่าจะเขียนเรื่องกลับเมืองไทยตั้งหลายครั้งแล้ว ก็ไม่ค่อยได้มาโรงเรียนซะที วันนี้ล่ะ ได้ฤกษ์ซักทีแล้ว

ฉันไม่ได้กลับเมืองไทยไปปีนึง โดยเฉลี่ยแล้ว ฉันก็ไม่ค่อยได้กลับไปเมืองไทยเท่าไหร่ ปีละครั้งสองครั้งเอง กลับไปคราวนี้ ส่วนมากฉันก็รู้สึกว่าไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนไปเท่าไหร่ มีบางอย่างที่ฉันรู้สึกว่าเปลี่ยนไปมากจัง ก็อย่างเรื่องถนนหนทาง ขนาดกลับไปนี่ไม่ได้ขับรถเลยนะ แต่นั่งรถที่เพื่อนขับมาส่งบ้าน ยังบอกทางกลับบ้านตัวเองไม่ค่อยจะถูกเลย ไม่รู้ถนนอะไรต่อมิอะไรตัดกันให้วุ่นวายไปหมด แต่ถนนมากขึ้น รถก็ยังติดเหมือนเดิม

เซอร์ไพรส์เรื่องแรก

มีอยู่วันนึง ฉันไปเข้าห้องน้ำที่สยาม ผู้คนเข้าแถวกันอย่างมีระเบียบตั้งแต่ปากประตู เข้ากันคิวเดียวพอห้องไหนว่าง คนหัวแถวก็เข้าไป ตอนนั้นฉันรู้สึกดีใจมาก เพราะว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว เค้าก็เข้าแถวเข้าห้องน้ำกันอย่างนี้ทั้งนั้น ตอนนั้นคิดในใจอย่างลิงโลดมากเลย ว่าหายไปปีเดียว เมืองไทยพัฒนาขึ้นมากจัง

เรื่องเข้าแถวเข้าห้องน้ำแบบไทยๆเรานั้น สมัยก่อนที่ฉันจะไปเรียนเมืองนอกเมืองนา ฉันจำไม่ได้แล้วล่ะว่าฉันมีความรู้สึกต่อต้านมันรึเปล่า เท่าที่นึกๆดู ก็มี 2 ความรู้สึกที่จำได้ ก็คือ 1 การเข้าห้องน้ำถือเป็นการเสี่ยงโชคอย่างนึง ตาดีได้ ก็ได้เข้าเร็วถ้าเลือกห้องถูก ตาร้ายเสีย ก็รอนานมาก(คนที่(ท้อง)เสียคือคนในส้วมมากกว่า) 2 ไม่ค่อยเป็นสุข บางทีถ้าฉัน(ท้อง)เสียมั่ง ฉันก็รู้สึกละอายใจ ที่ทำให้คนมารอหน้าห้องฉันคอยนาน

พอไปเมืองนอก การเข้าห้องน้ำไม่ขึ้นอยู่กับดวงอีกต่อไป เข้าแถวเดียว ห้องไหนเปิดคนหน้าก็ได้เข้า ฉันก็เลยรู้สึุกมีความสุขมากและอยากให้เมืองไทยเป็นอย่างนี้บ้า่ง ทีนี้พอเห็นที่สยามเป็นดังว่า ฉันก็ดีใจสุดๆ

ต่อมา ฉันก็ไปเดินชอปปิ้งกับแม่ที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ฉันก็ไปยืนเข้าห้องน้ำกับแ่ม่ ในห้องน้ำไม่มีคนพอดีเลย แม่ก็เตรียมจะไปยืนเข้าคิวที่หน้าห้อง ฉันก็รีบบอกแม่ว่า "แม่ๆ เดี๋ยวนี้คนเขายืนเข้าห้องน้ำกันเป็นคิวแบบเมืองนอกแล้วล่ะ แม่มายืนรอตรงนี้ก่อนเร็ว" แม่ก็บอกว่า "ไม่มีหรอก ที่นี่เค้าก็ยังเข้าแบบเดิมแหละ" ฉันพูดไปก็ดึงแม่มายืนเข้าแถวตรงทางเข้า แม่ก็บ่นเล็กๆ แต่ยอมฉัน ทีนี้สิอยู่ดีๆ มียายป้าคนนึง เดินมาทีหลัง พอประตูห้องน้ำเปิดผาง ยายป้าก็แทรกตัวผ่านเราแม่ลูก ไปเข้าเฉยเลย แค่นั้นไม่พอ มีคนที่สาวๆหน่อยรีบแทรกไปยืนรอคิวหน้าห้องน้ำ แม่ฉันก็เลยปลอบฉันว่า ทำนองว่า มันต่างกัน ลูก แถบสยามน่ะคนเค้าพัฒนาแล้ว เฮ้อ เลยเซ็งเลย สรุปว่า ประเทศไทยก็ยังไม่พัฒนาเหมือนเดิมเหรอนี่ หรือเค้าเรียกว่าพัฒนาแล้วเป็นแห่งๆดีล่ะ

ไปดูมิวสิคอล

กลับเมืองไทยไปคราวนี้ น้ำน้องรักพาไปชมแม่น้ำของแผ่นดินด้วย ฉันสนิทกับน้ำมากตอนเรียนที่อังกฤษ เราจะโทรคุยกันแทบจะทุกวันคุยยาวๆ เพราะว่าค่าโทรถูก ฮิฮิ (ที่จริงก็เจอกันบ่อยมาก เพราะว่าเรียนยูเดียวกันนี่ แล้วน้ำก็มาหาฉันที่หอบ่อย เพื่อนฉันก็เพื่อนน้ำ) คุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ที่คุยมากที่สุดคือเรื่องความรัก น้ำจะเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ฉันและคอยตอบปัญหาหัวใจ และฉันก็เป็นที่ปรึกษาด้านความรักให้น้ำด้วย กลับมาเมืองไทยก็คุยกันบ้าง น้อยลงกว่าแต่ก่อน แต่คุยทุกครั้งก็รู้สึกสบายใจเหมือนเดิม น้ำเค้าเป็นคนที่มองโลกสดใสดี ฉันชอบ

น้ำชอบทำขนม ทำแล้วก็ทำมาเผื่อ ฉัน อันเดรส และก็มาสะด้วย (เราอยู่ตึกเดียวกัน) มุขเด็ดที่ฉันจำได้ก็คือ มีอยู่ที น้ำทำเค็กมาให้กิน หน้าตาเค็กมันก็ดูดีอยู่น่ะนะ แต่ฉันกินไปคำแรก ต้องหันไปถามน้ำ น้ำๆ ทำไมเค็กเธอมันมีกลิ่นซีอิ๊วด้วยล่ะ เหรอๆสงสัยชั้นล้างถาดเค็กไม่สะอาด พอดีก่อนหน้าฉันใช้ถาดทำไข่พะโล้น่ะ แป่ว!

น้ำรู้ว่ามาสะจะมาเมืองไทย ก็เลยลางาน ชวนกันไปดูแม่น้ำของแผ่นดิน น้ำจองตั๋วแบบที่นั่งเรือของโรมแรมริเวอร์ไซด์ไป น้ำนัด 5 โมงครึ่ง วันนั้นฉันกับมาสะก็ไปเดินสยามกันก่อน ฉันถามพ่อเรียบร้อยว่าไปโรงแรมยังไงดี พ่อก็บอกว่า นั่งรถไฟฟ้าไปสุดที่สะพานตากสิน ง่ายมาก ฉันเลยเดินสยามถึง 5 โมงเย็น พอไปถึงถามยามแถวนั้น เค้าบอกฉันว่า โรงแรมที่ว่าคือโรงแรมแม่น้ำใช่ปะ ฉันก็เอะใจ โทรถามพ่อใหม่ พ่อก็บอกโรงแรมแม่น้ำไง เลยถามน้ำอีกที โน่นแน่ะ ผิดโรงแรม ต้องไป สะพานซังฮี้ น้ำและพ่อฉันก็แนะนำให้ขึ้นเรือ เราเลยนั่ง(ยืน)เรือด่วนเจ้าพระยา จากสะพานตากสินไปซังฮี้ โดยมีน้ำโทรมาเร่งเป็นระยะ เพราะเรือดูละครเค้าจะออกจากท่าตอน 6 โมงน่ะสิ เราไปถึงอย่างฉิวเฉียด ก่อนเวลา 3 นาทีได้

ละครเพลงเรื่องนี้ เป็นเรื่องแนวแฟนซี แต่มีพื้นฐานมาจากเรื่องพระพุทธเจ้าสิบชาติน่ะ ฉันว่าเค้าทำดีมากนะ เรียกว่าคุ้มค่าเงิน เสียอยู่อย่างเดียว คืออาหารบุฟเฟต์ในเรือ ไม่ได้ความเลย ถ้าใครจะไปดูปีหน้า เลือกไปดูแบบ ดูที่ท่าดีกว่า ไม่ต้องเสียเงินค่าอาหารหรอก ไม่คุ้มเลย

previous - next