diaryland archives guestbook

Links Hinghoi Moo+ Nitchawan P'Puk Peerada Evil

12.12.2002 - 2:56 p.m.

คราวที่แล้วไม่ได้มาสนามโซล เลยไม่ได้ถ่ายกับตัวพวกนี้

สะพานในโซล

กินฟรี

ตัวเมือง โฮโนลูลู

ที่ ซิตี้ฮอล มีรูปกษัตริย์องค์เก่าๆของฮาวาย

หาดไวกิกิยามพระอาทิตย์ตก

วันต่อมา ก็ตื่นสายโด่ง เพราะว่าเหนื่อยมากจากการเดินทาง กว่าจะออกไปหาข้าวเช้ากินก็สิบโมงกว่าแล้ว เดินออกไปไม่ไกลจากโรงแรม ฉันเลือกร้านเบเกอรี่กินเป็นข้าวเช้า ฉันสั่งซุปครีมอร่อยกับขนมปัง ซุปถ้วยใหญ่ตามสไตล์อเมริกัน กินไปก็คิดว่าตูจะอิ่มไปได้ถึงกี่โมงเนี่ย

เนื่องจากแผนการวันนี้ก็คิดเอาไว้เยอะมาก จะไปดำน้ำแบบสนอกเกิ้ล จะไปพายคะยัก จะไปเดินเล่นในเมือง ตัดสินใจไม่ค่อยถูก ระหว่างก็เดินไปเรื่อยๆ เราดันเห็นร้านรถจี๊ป ติดป้ายให้เช่าอยู่ รถจี๊ปสีแดง เหลือง ฟ้า พวกเราก็น้ำลายหกมาก อยากลองขับจัง ก็เลยเดินไปถามราคา ราคาประมาณ 100 เหรียญต่อวัน เราก็แบบคิดว่า แพงเนอะ เช่าธรรมดาน่าจะถูกกว่ามั๊ย แต่ว่าไปมาก็อยากขับมาก ห้ามใจไม่ไหว ไปเช่าจนได้

ตอนเช่ารถ มีผู้หญิงญี่ปุ่นที่คงอยู่ที่นั่นมาพอประมาณ กับสามีชาวอเมริกันเป็นเจ้าของ ผู้หญิงเค้าเห็นหน้าพวกเราก็ใส่ภาษาญี่ปุ่นนะ พอสามีพูดภาษาอังกฤษอะไรเค้าก็จะพยายามแปลให้พวกเราฟังน่ะ ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ ทำท่าไม่เข้าใจเวลาที่สามีเค้าพูด แต่พอเค้าแปลมาสะก็ทำท่าตั้งอกตั้งใจฟังที่เค้าแปล ตอนนั้นเราคิดในใจว่ามาสะนี่ไม่เหมือนบางคนเนอะ คนบางคนเค้าชอบโอ้อวด อย่างแบบได้โอกาศ ก็คงจะพูดภาษาอังกฤษอวดออกไปเลยไงว่าฉันพูดได้ ซึ่งถ้ามาสะทำอย่างนั้น ฉันคงรู้สึกตลกแล้วก็รับไม่ได้ แล้วพอเราถามว่าจะไปพายคะยักที่ไหนดี เราก็ถามถึงหาดนึงที่ไกด์บุ๊คแนะนำ เค้าก็บอกว่า ที่นั่นมีแต่คนพูดภาษาอังกฤษนะพวกเธอคงจะลำบาก อย่างพวกเธอควรไปหาดไวกิกิ ที่นั่นมีิอินสตรักเตอร์พูดภาษาญี่ปุ่นได้ทั้งนั้น มาสะก็ทำท่าเออออห่อหมก

ตอนแรกผู้หญิงคนนี้เค้าบอกราคาพวกเราแพงด้วยนะ(คงเห็นว่าเป็นคนญี่ปุ่นแล้วรวย น่าเกลียดจัง) แต่ว่าสามีเค้าฟังภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง เค้าก็รูดบัตรให้ในราคาที่ถูกกว่าซึ่งคงเป็นราคาปกติ

ระหว่างทาง

พอเราเช่ารถเสร็จ เราก็ตัดสินใจขับไปหาด อุมะฮะนะ ภาษาฮาวายนี่ฟังดูเหมือนภาษาญี่ปุ่นเลย ถ้าเป็นญี่ปุ่นก็คงแปลว่าหาดม้า+ดอกไม้ หาดอุมะฮะนะนี่เป็นหาดสงวนเพราะว่ามีประการังเป็นแนวยาว ก และมีฝูงปลาอาศัยอยู่ในแนวประการัง และมีปลาพันธุ์ที่ไม่มีที่ไหนในโลก

หาดอุมะฮะนะ กับทะเลสีสวย สีฟ้าเข้มที่ทำให้ฉันเข้าใจคำว่า Hawaiian Blue

แนวประการัง

ไปถึงไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์สนอกเกิ้ลไปก็ได้ เค้ามีให้เช่าในนั้นเลย ด้วยความงก ฉันก็เลยไม่เช่าฟิน พอดำๆไปก็อิจฉาพวกที่มีฟินเพราะไม่ต้องว่ายมากแค่ตีขาเบาๆ ฉันดิต้องว่ายท่ากบ แต่คิดไปก็ดีเหมือนกัน จะได้เป็นการออกกำลังกาย ที่นั่นมีปลาเยอะมาก ดำพื้นผิวไม่ลึกก็เห็นปลาเต็มไปหมดแล้ว ระหว่างแหวกว่ายกบอย่างเพลิดเพลิน(ท่ากบ มือมันก็ต้องตีไปข้างๆ) ฉันก็ไปตีกับอะไรแข็งๆจนนิ้วเจ็บ นึกว่ามีไปตีโดนฟินใครเข้า หันมาดูปรากฎว่า ฉันไปตีเอาเต่า เต่าตัวใหญ่มหึมา ว่ายอยู่ข้างๆฉัน ทั้งตกใจเต่าตัวใหญ่มาก ทั้งดีใจเห็นเต่า ฉันก็เลยหัวเราะๆอย่างบ้าอยู่คนเดียว ดำอยู่ไม่นานมากซักชั่วโมงได้ ก็เหนื่อยเหมือนกัน ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าขับรถไปเที่ยวต่อ

ระหว่างทางที่เลือกกินแฮมเบอร์เกอร์

หลังจากว่ายน้ำเสร็จก็บ่ายสามแล้วมั๊ง หิวแล้วก็หาของกิน ไปเจอหาดนึงสวยดี มีรถขายเบอเกอร์อยู่ริมหาดด้วย เลยซื้อมาลองกิน อร่อยดีจังเลย เค้าย่างเนื้อกับเตาถ่าน หอมกรุ่น แล้วก็ขับรถเล่นต่อ ไปดูหาดที่เค้าว่าสวยอีกหาดนึง ไม่มีใครเลย เพราะว่าเป็นหาดที่มีเวลาปิดเปิด เปิดถึง6โมงเย็นเท่านั้นเอง

หาดสวยเลยมีคนแอ็คท่าว่าเล่นวินเซอร์ฟ

มันเริ่มมืดแล้ว ก็เลยคิดว่าขับกลับดีกว่า เข้าเมืองไปหาสเต็กกิน การกินสเต็กชิ้นใหญ่ของอเมริกาเป็นความใผ่ผันของมาสะ และก็เป็นจุดมุ่งหมายของการมาเที่ยวครั้งนี้ (ตลกรับประทานจริงๆเลย)

ระหว่างทาง มีเขาล้อมรอบ เหมือนเรื่องจูราสสิกพาร์คชอบกล

ขากลับฉันก็ขับจี๊ปกลับ เป็นครั้งแรกที่ได้ขับรถชิดขวา รู้สึกกลัวเหมือนกันตอนแรก แต่ว่ามันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ฉันว่าคนที่ขับรถเป็นก็จะสามารถขับได้กันทุกคนแหละ เพียงแต่ต้องมีสมาธิหน่อย เราแวะกันที่ร้าน Safeway ด้วย เพราะว่าฉันอยากซื้อของกินพวกขนม ซื้อจนเงินหมดเลยเพราะว่าตกลงก็ไม่ได้แค่ขนมอย่างเดียว

แล้วเราก็ไปร้านหนังสือที่เค้าแนะนำว่าใหญ่ด้วย ฉันอยากซื้อหนังสือ แต่ว่าพอไปถึง ร้านมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก ก็ไม่ได้ซื้ออะไร ที่จริงฉันอยากซื้อออดิโอบุ๊ค แต่ว่ามีสาวอเมริกันสามคน นั่งอยู่หน้าชั้นที่ฉันอยากดูพอดี เค้านั่งอ่านบทกวีกัน แล้วก็ดิสคัสกันอย่างเมามันมาก ฉันก็เลยขี้เกียจดูแล้ว

ก็ไปที่ร้านขายสเต็ก ร้านนี้อยู่ใกล้โรงหนัง เป็นร้านที่ดูจะขายคนฮาวาย ไม่ใช่นักท่องเที่ยวเพราะว่าไกลจากหาดมามาก คนที่ไปกินก็ดูแต่งตัวดีกัน(คนฮาวายแต่งตัวดีก็คือใส่กางเกงขายาว ผู้ชายก็จะใส่เสื้อฮาวายบ้างเชิร์ตบ้าง) มีเราใส่สองคนเป็นนักท่องเที่ยวมาก ร้านแต่งสวยเป็นแนวสมัยใหม่ จุดเทียนด้วย ที่น่าแปลกใจคือ ราคาถูกด้วย แค่จานละ สิบเหรียญนิดๆ ที่แปลกใจไปกว่านั้นคือ เสต็กชิ้นใหญ่มากเลย ที่ฉันสั่งเป็นสเต็กชิ้นบางสูตรอาเจนติน่า กว้างสองนิ้วได้ แต่ยาวประมาณ เกินสองฟุต แล้วทบกันมาสองชั้น(เลยดูเหมือนฟุตนึง) เราเข้าใจแล้วว่าอาหารอเมริกันน่ะถูกจริงๆ

หลังจากนั้นก็ไปจอดรถที่โรงแรม ที่จริงที่ฮาวายนี่เหมือนเมืองไทยนะ คุณสามารถจอดรถที่ไหนก็ได้ที่เค้าไม่ได้เขียนว่าห้ามจอด(ญี่ปุ่นนี่ไม่ได้เชียวนะ) แต่ว่าเพื่อความปลอดภัย เดี๋ยวรถเช่าเค้าหายไปละซวยเลย ไม่คุ้ม ก็ไม่ควรจอดข้างถนนแหละ เสียเงินค่าจอดสบายใจกว่า แล้วก็ออกมากินกาแฟดูคนเดิน

ขอแอ็คท่ากับรถหน่อย

หาดไวกิกิ มีฉันแอ็คท่าอยู่ไกลๆ

วันต่อมา เราก็เอารถไปคืน แล้วก็กินแพนเค็กเป็นอาหารเช้า แล้วก็ไปว่ายน้ำที่หาดไวกิกิ แล้วก็เดินเล่นในเมือง วันนี้ไปเดินห้างที่ใหญ่มากเป็นอันดับสองของอเมริกา(แต่ว่าเจ้าของคือไดเอ ห้างญี่ปุ่น) ห้างใหญ่มาก รวมห้างไว้สามสี่ห้าง มีเมซี่ และอะไรต่ออะไร เรากินข้าวที่ศูนย์อาหาร เรามาวิเคราะห์กันอีกครั้งว่าทำไมคนอเมริกันถึงอ้วน ก็ปริมาณอาหารที่เค้าขายมันมากมายเกินกว่าคนๆนึงควรกิน แต่เค้าคงจะชินกัน ซื้อมาแล้วก็กินซะให้หมด ก็เลยอ้วนกันซะ..ล่ะสิ ขนาดมาสะกินโคตรเก่งจนขิ้นชื่อยังบอกว่าอิ่มเลย(ปกติแกชอบพูดว่าแกไม่รู้จักความรู้สึกอิ่มน่ะ คือกินได้อีกเรื่อยๆ)

เรื่องเด็ดที่เกิดขึ้นกับฉันตอนเดินห้างก็คือ ฉันไปลองเสื้อผ้าอยู่คนเดียว ลองไปลองมา ปรากฎว่าความเบ๊อะบ๊ะ ตอนจะจ่ายตังค์ฉันก็ระลึกได้ว่ากระเป๋าสะพายฉันหายไป นึกไปนึกมา ก็นึกออกว่าลืมไว้ที่ห้องลอง ฉันก็วิ่งเข้าไปดูหลายรอบ ไปเคาะห้องถามคนในนั้นด้วย เค้าก็เปิดห้องให้ดูนะว่าไม่มี เค้าไม่เห็น ฉันก็เศร้ามาก คิดว่ากระเป๋าหายแน่เลย ฉันมีทั้งเงินวอน เงินเยน และเงินดอลล่าร์อยู่ไม่น้อย แต่ที่เสียดายก็คือตัวกระเป๋าตังค์ที่ได้รับมา กับบัตรประจำตัวของญี่ปุ่น ฉันก็เดินไปถามที่เคาเตอร์อย่างหน้าซีดเผื่อจะมีใครเอามาให้เขา แต่เค้าบอกว่าไม่มี แล้วก็แนะให้ฉันไปหาหน่วยรักษาความปลอดภัย ฉันก็เศร้ามาก คิดว่าไปแจ้งไว้ก็คงงั้นๆแหละ ที่นี่ฮาวายนะ ไม่ใช่ญี่ปุ่น คงไม่มีคนดีเก็บของได้แล้วคืนหรอก(ฉันเคยเฟอะฟะลืมกระเป๋าตังที่อังกฤษเหมือนกัน เป็นอาทิตย์เค้าก็เก็บเอาไว้ให้อย่างดี ส่วนญี่ปุ่นน่ะ ไม่ต้องพูดถึง ปลอดภัยสุดๆในสายตาฉัน) พอไปถึง หน่วยรักษาความปลอดภัย เค้าก็ถามฉันว่าลักษณะกระเป๋าเป็นอย่างไร ฉันก็อธิบายไป ยังไม่ทันจบเลย พี่แกก็คืนกระเป๋าฉันมาของทุกอย่างครบหมด ดีใจมากเลยจริงๆ ถ้าไม่ได้คืนคงเศร้าเซ็งไปทั้งทริป คนอเมริกันนี่ก็ดีแฮะ ก็ฉันลืมของไว้ไม่ถึงห้านาที ใครไม่รู้ก็จัดการเอามาให้หน่วยรักษาความปลอดภัยแล้ว สุดยอด

แถวหน้าโรงแรม

พวกเราตื่นเต้นมาก กับแก้วน้ำที่ใส่น้ำอัดลมปั่นขนาดกินคนเดียวของคนอเมริกัน เทียบกับแก้วสตาร์บัคส์ขนาด grande ให้เห็นกันจะๆ

หลังจากนั้นก็นั่งรถบัสของห้างไปแถวโรงแรม ฉันไปขนซื้อหนังสือและนิตยสารเยอะมากเลย แล้วเราก็เลยแวะกินกาแฟ และไอติมต่ออีกร้านไอติมเค้าอร่อยจังเลย แบบว่าพอเราเลือกแล้วเค้าก็จะเอาทุกอย่างที่เลือกมาผสมๆกัน เราติดโรคทิปไปแล้วตอนนี้ เนื่องจากพ่อหนุ่มคนขายไอติมบริการดี๊ดี ฉันก็เลยทิปไป 1 เหรียญแน่ะ ;P คือว่าพ่อหนุ่มน่ารักด้วยแหละ

วันต่อมาก็ต้องกลับแล้วล่ะ ทัวร์ราคาถูกก็อย่างนี้แหละ ตอนเช้าเราตื่นแล้วก็ไปดื่มกาแฟสตาร์บัคส์เป็นรอบที่สามของทริปนี้ ฉันชอบดื่มสตาบัคส์เพราะว่ามันหวานดี โดยเฉพาะมอกก้าไวท์ชอกโกแล็ต

ขากลับ ก็เป็นการเดินทางล้วนๆ เราก็เจอเพื่อนร่วมทริป ก็ถามไถ่กันว่าใครไปไหนมาบ้าง มีคนที่เค้าชอบเมืองไทยมาก มาทริปนี้เค้ามาดำน้ำกัน เค้าก็บอกว่าทะเลไทยสวยกว่าที่นี่ ฉันก็ปลื้มใจ มีพวกลุงๆที่ไปไหนมาไหนกับทัวร์ตลอด บอกว่าแกไปตีกอล์ฟ ฉันก็ตกใจ อ้าปากค้าง(ลุงคงว่าฉันบ้า ตีกอล์ฟก็ธรรมดาจะตายแต่ว่าอุตส่าห์มาตีกอล์ฟถึงฮาวาย ฉันว่าลุงบ้าว่ะ) มาสะบอกว่าจับใจความที่ลุงคุยกันได้ ว่าตอนกลางคืนพวกแกไปดูเต้นอะโกโก้แน่เลย(มาสะเล่าพร้อมกับเอามือทำท่ารูดเสา) ฉันก็ถามว่าเค้าคุยกันว่าไงเหรอเธอถึงรู้ มาสะบอกว่า(ดูหน้าพวกลุงๆก็รู้ หัวงูออกและก็) เห็นลุงพูดกันเรื่องเมื่อคืนว่าใหญ่ๆ เฮ้อ

เครื่องบินขากลับ ฉันเจอเรื่องที่ไม่ถูกใจเลย เรื่องแรกก็คือ เครื่องบินเกาหลีฉายหนังเกี่ยวกับชมรมเบสบอลแรกของประเทศ แต่ว่าเรื่องมันเกี่ยวพันกับสงครามโลก และการแข่งขันกับญี่ปุ่นและมีความโหดร้ายของญี่ปุ่นด้วย ฉันไม่ได้เป็นคนชาติไหนในสองชาตินะ แต่ว่าสายการบินเค้าก็รู้นี่ ว่าผู้โดยสารเกินครึ่งของเค้าเป็นคนญี่ปุ่น ทำไมเค้าไม่เลือกหนังที่จะฉายหน่อย ทำแล้วมันได้อะไรขึ้นมานะ ฉันอึดอัดใจแทน ฉายในประเทศตัวเองก็ไม่เป็นไรหรอกดีซะอีก แต่อย่างถ้าการบินไทยฉายหนังเรื่องบางระจัน หรืออะไรๆในเส้นทางบินไปพม่า ฉันก็อายเหมือนกันแหละ อะไรมันจบไปแล้ว จะไปขุดคุ้ยให้มันได้อะไรขึ้นมานะ

เรื่องไม่ถูกใจเรื่องที่สองก็คือที่นั่งข้างมาสะว่างที่นึง ถัดไปเป็นแม่บ้านเกาหลีมากับสามี พวกเราจะนั่งแล้วก็มีที่ปิดตาปิดนอนไป มาสะตื่นมาหาเสื้อแจ็กเกตที่ถอดวางพาดไว้ครึ่งนึงของเก้าอี้ว่าง หาไม่เจอ ปรากฎว่ายายแม่บ้าน เอาเสื้อเค้าไปวางกับพื้นแล้วเอารองเท้าวางทับอีก ส่วนตัวเองนอนยาวเอาตีนหันมาทางมาสะ ฉันฉุนแทนเรื่องเสื้อก็เลยแกล้งเอามือไปโดนขามัน พอมันตื่นก็แกล้งทำเป็นหยิบแจ็กเก็ตแล้วมือพลาดไปโดน หน้าตาฉันฉุนเฉียว มันเลยไม่กล้านอนอีก ยายนี่คงนับถือสามีมาก คือไม่กล้าหันตีนไปทางผัว แต่หันมาทางคนอื่นแทน หลังจากเห็นฉันหน้าเป็นมะเหงกสามีก็เลยลงมานอนแทน เอาตีนหันไปทางเมีย เอาหัวหันมาทางมาสะ เฮ้อ

คนที่ดีก็มีนะ มาสะเค้าเคยขึ้นเครื่องบินเกาหลี แล้วแม่ลูกเกาหลีก็ให้เค้ากินข้าวปั้นด้วยกัน เค้ายังประทับใจว่าข้าวปั้นเกาหลีอร่อยมากคนเกาหลีใจดี ประทับใจไม่ลืม

ขากลับก็เหนื่อยเหมือนเดิม นั่งๆนอนๆ ชอปปิ้งที่ดิวตี้ฟรี ก็กลับมาถึงญี่ปุ่นที่อากาศหนาวมาก คิดถึงหน้าหนาวของฮาวายที่ 27 องศาจังเลย

previous - next