diaryland archives guestbook

Links Hinghoi Moo+ Nitchawan P'Puk Peerada Evil

01.07.2002 - 6:56 p.m.

เที่ยวโซล

ที่จริงขี้เกียจเขียนเรื่องเที่ยวเกาหลีแล้วล่ะ แต่ว่าฉันมีความประทับใจที่ดีมากเลยกับการไปเที่ยวประเทศนี้ เลยอยากจะเขียนให้คนอื่นได้อ่านด้วยน่ะ

หลังจากวันที่ดูบอล แมตช์เกาหลีกับโปรตุเกศจบลง เช้าวันต่อมา พวกเราก็เดินทางจากอินจอน ไปยังโซล นั่งรถไฟไป รถไฟเกาหลี ก็มีหน้าตาเหมือนรถไฟญี่ปุ่น แต่ว่าราคาน่ะถูกกว่ากันเยอะเลย พอไปถึง เราก็เอาของไปเก็บที่พักกันก่อน ซึ่งแน่นอน ก็ไม่พ้นโรงแรมจิ้งหรีดอีกตามเคย เราจองไว้สองห้อง ป้าเจ้าของโรงแรมก็พาพวกเราขึ้นไปยังห้อง พอถึงชั้นสอง เค้าก็บอกว่าเป็นห้องพวกผู้ชาย แอนบอกว่าขี้เกียจเดิน จะเอาห้องนี้ล่ะ พวกผู้ชายก็เลยนอนชั้นสาม พอตอนที่พวกผู้ชายเห็นห้องเราก็บอกว่า ห้องข้างบนแคบ หนำซ้ำยังไม่มีม่านด้วย แอนเลยบอกว่า ยายป้านี่ ดิสครีมิเนท เพศหญิง (โรงแรมนี้เป็นโรงแรมจิ้งหรีดที่ห่วย แล้วเจ้าของก็หน้าบึ้งตลอด) แต่ว่าดีที่เราก็ไม่ค่อยได้อยู่ห้อง หรือว่าต้องเจอหน้ายายป้าบ่อย

แล้วเราก็ออกไปเดินเล่นชมเมือง จากนั้นก็เดินตลาด ตลาดที่มีชื่อเสียงของที่นี่คือตลาดเมียงดอง มีของขาย ตลอด แทบจะทั้งวันทั้งคืน มีพักผ่อนบ้างช่วงเย็นๆเท่านั้น บรรยากาศที่นี่ เหมือนประตูน้ำ พวกใบหยก หรือว่าพาหุรัดสำเพ็ง มากๆเลย ฉันเห็นเสื้อผ้าน่ารัก ราคาถูกเต็มเลย เลยเชื่อแล้วที่แม่ค้าไทยชอบบอกว่าเป็นของเกาหลี เค้าคงมาซื้อราคาส่งที่เกาหลีจริงๆ ว่าแล้วฉันก็เลยซื้อแบบเบาะๆไปแค่เสื้อสองตัวก่อน


ปราสาทเก่ากลางโซล


หอคอยเกาหลี อยู่บนหัวตา M

ที่น่ากลัวก็คือว่า อยู่ที่เกาหลี ห้ามหลุดพูดภาษาญี่ปุ่นเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้วจะโดนฟันทันที เนื่องจากกรุ๊ปทัวร์ของเรา มีหนึ่งหนุ่มญี่ปุ่น เราก็มักจะพูดภาษาญี่ปุ่นกันเป็นภาษากลาง พอเข้าเขตซื้อของพวกเราก็ต้องเตือนกันให้พูดภาษาอังกฤษตลอด ยิ่งทำเป็นคนไทยให้หมดยิ่งดี :)

ยกตัวอย่างเช่น พ่อค้าแม่ค้า มักจะพูดกับเราด้วยตัวเลขญี่ปุ่น เราก็จะรีบตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ (พยายามจะพูดด้วยภาษาเกาหลีอยู่เหมือนกันนะ แต่ว่าพอเค้าพูดกลับมา ก็ฟังไม่ทันน่ะ) เวลาเดินซื้อของ ฉันก็จะจับคู่แอน ส่วนน้องหมีก็จะเดินกับ M น้องหมีจะหน้าเหลี่ยม(ฮ่า ฮ่า) ผิวคล้ำแดด ตาตี๋ๆ ทำให้หมีหน้าเหมือน คนเกาหลี ไม่ก็ญี่ปุ่นมาก มันจะมีคนมาถามให้ซื้อของ(เช่นกระเป๋าหลุยส์ปลอม) ด้วยภาษาเกาหลี ไม่ก็ภาษาญี่ปุ่น ทีนี้มีอยู่ครั้งนึง มีพ่อค้าถามหมีเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "นิฮอนจิน เดสคะ ?" แปลว่า เป็นคนญี่ปุ่นใช่มั๊ย น้องหมีมันก็รีบตอบว่า "อิอิเอะ ไทยจินเดส" พ่อค้าก็ทำหน้างงเล็กน้อย แล้วก็ไม่ตื๊อให้ซื้อของต่อ พวกเราดิขำกลิ้ง แล้วคนไทยทำไมมันพูดญี่ปุ่นคล่องวะ ตอบพ่อค้าได้ด้วย

เดินจากตลาดเมียงดอง จะไปยัง สยามของโซล ยังไม่ทันไปถึงก็ผ่านงานออกร้านที่เค้าทำไว้ให้นักท่องเที่ยวซื้ออาหารพื้นเมืองเกาหลี ตา M ก็ยิ้มแย้มตาวาว พอเห็นของกิน เราก็เลยแวะ ซื้อของกิน หมีกับแอนปรึกษากันไปมา ก็ได้ขาหมู ส่วนที่เรียกว่า คากิ (ตรงช่วงปลายสุด) ต้มรสชาติเหมือนหูหมูต้มของไทย น้ำจิ้มเปรี้ยวๆเค็มๆก็เหมือนของไทยอีก แล้วเราก็นั่งกิน ที่ๆพวกเรานั่งกิน พอดีมีป้าสองคนแกนั่งอยู่ก่อน แกก็น่ารักมาก อัธยาศัยดีสุดๆ มาคอยสอนว่า ต้องกินอะไรยังไง ชวนให้พวกเราจิบเหล้าเกาหลีกับแกด้วย รสชาติมันเหมือนกาแฟนม ผสมข้าวหมาก รสแปลกๆยังไงไม่รู้ แต่ป้าแกเอ็นจอยกันมาก คุยกับพวกเราใหญ่ แกแซวที่แอนกินน้ำจิ้มเยอะด้วย ที่จริงแกคงขัดใจ เหมือนที่ฉันจะใส่เกลือในน้ำข้าวตังแล้วโดนห้าม แต่ว่าดูแอนเอ็นจอยแกเลยได้แต่แซวๆค้อนๆ อย่างว่า คนเกาหลีเค้าเข้มงวดเรื่องการกิน


ป้าสองคนกำลังกุลีกุจอ จะเตรียมของกินให้พวกเรา

และแล้วเราก็ผ่านด่านร้านของกิน มาถึงสยามของโซล (จำชื่อไม่ได้แล้ว) หน้าตาก็เหมือนสยามนะคะ คนที่นี่ก็แต่งตัวเหมือนเมืองไทย ออกแนวกางเกงยีนส์ ไม่ค่อยกุ๊กกิ๊กเหมือนสาวยุ่น สาวๆเกาหลี จะออกแนวขาวหมวยเยอะ สเป็คหนุ่มไทยมาก หนุ่มไทยอย่างน้องหมี มองสาวโซลจนปวดคอไปหมด(มันบอกเอง) เห็นบอกว่าไม่น่าเลือกไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นเลย อยู่เกาหลีสาวก็สวยกว่า ฮ่า ฮ่า อันนี้รสนิยมของใครของมันนะ


สยามของโซล

พวกเราเข้าร้านรองเท้ากีฬากัน เพราะว่ามีเป้าหมายอยากมาซื้อรองเท้า พอเข้าไนกี้ ก็ยังไม่เท่าไหร่ พอเข้าร้านอาดิแดสเท่านั้นแหละ ทุกคนจับอาดิแดสรุ่นพรีเดเตอร์กันใหญ่ แล้วน้องหมีก็ถอยก่อนสีดำ M ก็ถอยตาม เอาสีขาวเหมือนราอูล ฉันก็ตัดสินใจจะเอาขาวหรือดำดีนะ ในที่สุดก็ได้สีดำ ส่วนแอนที่ไม่ได้คิดว่าจะซื้อแต่แรก เห็นพวกเราถอยกันหมด เลยถามว่า เบ็คแคมสีอะไรนะ หมีบอกว่าขาว แอนเลยเอาสีขาว อืม พวกเราเป็นลูกค้ารายใหญ่ของอาดิแดสเลยนะเนี่ย

แล้ว ก่อนที่เกือบทางออก ก็มีศิลปินบนถนน นั่งวาดรูปให้คนอยู่ M รีบปราดเข้าไปมอง ฉันก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่น่ะนะ แต่เห็นแอนบอกว่า Mเค้าดูสนใจนะ ฉันเลยถามดู แกก็ทำเสียงอ่อยๆว่า อย่างที่อังกฤษน่ะ แพงเนอะ ที่นี่คงไม่แพงเท่าไหร่ ฉันรู้สึกสงสาร แบบว่าคงฝังใจ อยากได้รูปมาตั้งนานแล้ว เลยลองถามพ่อหนุ่มเสื้อเหลืองว่าคิดค่าวาดเท่าไหร่ เค้าก็บอกว่า สองหมื่น (ประมาณ 660 บาท) ฉันก็ว่า เออ ถูกดีเนอะ นึุกว่าคนละหมื่นวอน ถามไปถามมาเค้าบอกว่าคนละ สองหมื่นน่ะ ถึงเขียนในแผ่นเดียวกัน ฉันเลยทำท่าลังเล พ่อหนุ่มเลยบอกว่า คิดเป็นสองคนสามหมื่นละกัน วาดไม่นานแค่ซัก สิบห้านาที แอนกับหมีเลยไปกินน้ำรอ ฉันก็นั่งให้เค้าวาดกับ M


ศิลปิน กับแบบ และเกาหลีมุง

เสร็จแล้วก็เอาของไปเก็บโรงแรม แล้วก็จะดูฟุตบอลด้วยทางทีวี แต่พอเข้าโรงแรมไม่ได้ดูเลยบอล มัวแต่เอารองเท้ามาร้อยเชือก มาชื่นชม :)


ชื่นมื่นกับรองเท้าใหม่ ใส่กันไปสี่คนมีแต่คนมอง

แล้วเราก็ออกไปกินข้าวเย็น ตอนนั้นก็เริ่มดึกแล้ว ทุกคนเลยเห็นว่าน่าจะหาอะไรกินใกล้ๆ เลยเดินไปเรื่อยๆ (ที่จริงฉันอยากกินหมี่เย็นมาก เพราะว่ากุ้งเล่าไว้เยอะ) แต่ว่าเดินผ่านร้านนึง หน้าตาเหมือนร้านเหล้ากับมีอาหารตามสั่งของไทย กลิ่นเหมือนไก่ทอดกระเทียมพริกไทยหอมฟุ้งเลย คนอื่นดูท่าทางอยากลอง ฉันก็เลยคิดว่าลองกินอาหารท้องถิ่นดูก็ดีเหมือนกัน พอเข้าไป มันก็เป็นร้านท้องถิ่น ไม่มีเมนูด้วย มีแต่รายการเขียนไว้ที่ผนัง แขกในร้าน มีแต่หนุ่มๆสาวๆ ท่าทางจะเป็นเด็กหมาลัยทั้งนั้นเลย เห็นเราสั่งไม่ถูก ป้าเจ้าูของร้านเลยไปเรียกพ่อหนุ่ม โต็ะข้างๆ มาพูดภาษาอังกฤษกับพวกเราว่าอยากสั่งอะไร แล้วป้าก็จัดการให้เรียบร้อย ป้าร้านนี้น่ารักมากเลย เหมือนร้านอาหารหน้ามหาลัยที่ป้าจะคุ้นเคยกับเด็กๆน่ะ ป้าจะเอาใจใส่ดีมาก อย่างพวกเรางี้ สั่งซุปเนื้อ พอมันเย็นเรายังกินไม่หมด ป้าแกรีบเอาไปอุ่นให้ใหม่ แล้วเติมเนื้อมาให้ใหม่เต็มถ้วยด้วย ราคาก็แสนถูก ประทับใจจัง กินเสร็จ เราก็ไปเดินช็อปปิ้งกันอีก ตอนกลางคืนมีแต่เสื้อผ้าขายส่งเป็นส่วนมาก เดินไปมาจนตีหนึ่ง (ดูเหมือนฉันจะมีความสุขกับการช็อปที่สุดในบรรดาพรรคพวก) ก็เรียกแท็กซี่กลับไปนอนเอาแรง


ร้านป้าหน้ามหาลัย

วันต่อมา ทุกคนเหนื่อยกันมากจากเมื่อวานแต่ว่าฉันนอนไม่หลับ เพราะว่าจะได้เที่ยวโซลวันสุดท้ายแล้ว เลยตื่นซะเช้าเลย แล้วก็ปลุกพรรคพวกตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง (ทุกคนคงอยากด่า แต่ไม่มีใครกล้าด่า) ตื่นกันแล้วก็ไปฟาดสตาบัีกส์หน้าโรงแรมกันก่อน เนื่องจากพวกเรามาจากบ้านนอก พอเห็นสตาบักส์จะดีใจมาก

แล้วเราก็ไปดูปราสาทเก่าของโซล ที่จริงแอนกับหมีเคยมาแล้ว แต่ว่าสองคนบอกว่าเคยมาเมื่อปีที่แล้ว แล้วล่ะ มาใหม่ได้ เลยเลือดสุพรรณ ไปไหนไปกัน



พระราชวังเก่าของโซลประตูหน้า


ชาลี แชปลิน ปลอม



นี่ก็เกาหลีปลอม


พระราชวัง


เจดีย์ ที่หน้าตาเหมือนจีน

จากนั้น ก็เดินไปยังถนนวัฒนธรรม ถนนนี่ มีร้านศิลป แล้วก็ร้านขายของที่ระลึกน่ารัก เดินแล้วนึกถึง บริเวณแถวๆศิลปากร พวกเรากินอาหารกลางวันกันที่นี่ ร้านแถวนี้จะจัดร้านสวยมาก เหมือนกับผับสวยๆของไทย ร้านที่เราไปนั่งกิน มีของโบราณมาประดับ ฉันและคนอื่นสั่งหมี่เย็นมากิน ส่วนน้องหมีสั่ง อะไรหน้าตาเหมือน บุลโกกิ (เนื้อย่างเกาหลี) แต่ว่ามีน้ำซุปด้วย รสชาติเหมือนก๋วยเตี๋ยวเนื้อของไทย ที่ทำน้ำตาลหกลงไป ฉันคนชอบกินหวาน ชอบมากเลย ซดน้ำแกงของน้องหมีไปเกือบครึ่ง ราคาอาหารก็ไม่แพงเลยนะ ถึงจะอยู่ในทำเลที่น่าจะแพง

พอเดินต่อ ก็เจอเค้าจัดขบวนต้อนรับเวิรล์ดคัพพอดี ขบวนที่จัดเป็นการจำลองให้นักท่องเที่ยว เห็นพิธีการแห่เจ้าสาว แบบโบราณของเกาหลี (หน้าตาเหมือน ดูหนังจีนเลย แต่ว่าสีเสื้อผ้าต่างกันเท่านั้นเอง) ดูขบวนจบ เราก็เดินต่อ ฉันกับแอนเดินไปซื้อของที่ระลึกในร้าน พอเดินออกมา เห็น M ถือพัดเกาหลี หมีก็มีขนมก้อนนึง แล้วก็มีเด็กสาวๆรุมล้อมอยู่ เด็กๆขอถ่ายรูปด้วยนะ ว่าแล้วว่าหน้าน้องหมีมันค่อนข้างจะป็อบปูล่าในเกาหลี ป้าๆก็เอ็นดูมันกว่าใคร :) พอเด็กๆไปแล้ว ฉันก็ไปถามว่าอะไรเหรอ M บอกว่า เด็กมอปลายเค้าเห็นว่าเป็นคนญี่ปุ่นน่ะ เลยเอาแบบสอบถามมาให้ทำเค้าต้องส่งครู พอช่วยทำให้เค้าเลย ถ่ายรูป แล้วก็ให้ของที่ระลึกด้วย น้องหมีบอกว่า เค้าก็นึกว่าหมีเป็นคนญี่ปุ่น เดี๋ยวพอไปเช็คแบบสอบถามแล้วรู้ว่าไม่ใช่ สงสัยด่าตาย


ขบวน


เจ้าสาว

และแล้ว เราก็กลับไปพักที่โรงแรมกัน เพื่อจะรอเที่ยวตอนกลางคืน ระหว่างรอ ฉันกับ M ก็ ไปเอสเต้ ขัดตัวแบบเกาหลี เปิดดูจากไกด์บุ๊คของญี่ปุ่น เราก็ไปที่ไกล้กับสยามของโซล ที่นั่นมีแต่คนญี่ปุ่นไป พนักงานทุกคนพูดภาษาญี่ปุ่นหมด (แต่ว่าพูดเพี้ยนๆ ทำให้ฉันซึ่งไม่ใช่คนญี่ปุ่นแท้ ฟังแล้วงงมากเลย) เอสเต้ของเกาหลี ราคา เจ็ดหมื่นวอน (ประมาณ 2,300 บาทได้) มีถูกมีแพง ส่วนใหญ่จะแพงกว่านี้ พอดีที่ฉันไป มันเป็นช่วงโปรโมทร้านเค้าย้ายที่ใหม่ เอสเต้ของเกาหลีเป็นไงบ้าง ตามมาทางนี้เลย

แรกเลย เค้าจะให้เราเปลี่ยนชุดก่อน เป็นเสื้อกางเกงขาสั้นที่เค้าเตรียมให้ ไม่มีชั้นใน แล้วก็ให้เข้าซาวน่า มันเป็นแบบไอน้ำมากกว่า อยู่นานเท่าที่พอใจ เป็นด่านแรก จากนั้นก็ต้องถอดเสื้อผ้าออกให้หมด แล้วก็ไปออนเซ็น(อาบน้ำพุร้อน) ที่นี่ทุกคนจะต้องอาบรวมกันเหมือนกับที่ญี่ปุ่น แ้ล้วเค้าก็จะมาเรียกให้ไปขัดตัวได้ คนที่ขัดตัวจะแต่งตัวคล้ายชุดว่ายน้ำ ฝั่งผู้หญิงก็จะเป็นหญิงขัด ฝั่งชายก็จะเป็นชายขัด คนที่ขัดให้ฉันมีอายุแล้วล่ะ แกจะพูดกับฉันด้วยสำเนียงญี่ปุ่นแปร่งๆ แกเรียกให้ไปนอนเตียง เหมือนขึ้นเขียงเลย เตียงปูด้วยผ้าพลาสติก ถูกทำความสะอาดไ้ว้ด้วยน้ำ เปียกๆ ลื่นๆ แล้วแกก็จะขัดทั่วตัว ด้วยมือแกที่ใส่ถุงมือ วัสดุเหมือนผ้าขนหนู แต่ว่าแข็งๆ ป้าที่ขัดให้ฉัน คงแก่ประสพการณ์เต็มที่ ป้าขัดด้วยแรงเต็มร้อย ฉันรู้สึกเจ็บ เหมือนหนังกำพร้าโดนขูด ได้แต่ท่องในใจว่า "อยากสวยต้องทนๆๆ" ป้าจะสั่งและจับฉันหมุนซ้าย หมุนขวา ตะแคงไปมา ตอนแรกฉันจับสำเนียงญี่ปุ่น ป้าไม่ออก ก็เลยหมุนผิดทางด้วย ป้าเลยถามว่าเพิ่งเคยมาครั้งแรกเหรอคะ เจ็บมั๊ยคะ ฉันก็บอกว่าเจ็บ แต่ก็เห็นป้าออกแรงเท่าเดิมเลย ไม่เห็นเบามือ แล้วก็มี เคลือบสมุนไพร แล้ว ก็แพ็คหน้าด้วยโคลนกับแตงกวาให้ท้ายสุด ป้าก็สระผมให้อีกด้วย (บนเตียงนั่นแหละ) พอเสร็จแล้ว ก็ให้ไปเูข้าซาวน่า แบบสมุนไพร กับแบบหินร้อน ด้วย ให้อาบน้ำได้ แต่ว่าห้ามถูสบู่ พอเสร็จแล้ว ก็แต่งตัว ตัวเบาไปเลย เพราะว่าขี้ไคลหลุดออกไปเป็นกิโลได้ (จ่ายเงินไปจนตัวเบานั่นก็ด้วย)

แล้วฉันกับM ก็กลับไปที่คนเขียนรูปอีกครั้ง เพราะว่าเมื่อวาน เราไม่ได้ซื้อกรอบ กลัวว่าขนกลับลำบากน่ะ แต่ว่าพอกลับไปคิดว่า ถ้าทำกรอบที่ญี่ปุ่น ต้องแพงมากแน่ๆเลย เลยตัดสินใจมาทำกับเค้าดีกว่า พอเจอก็บอกเค้าว่าจะซื้อกรอบไง พ่อหนุ่มศิลปินก็เลยบอกว่า หมื่นห้าพันวอน ฉันเลย สปีคอิงลิช ให้เค้าลดให้หน่อย พ่อหนุ่ม ก็ลดให้เลยนะ เหลือหมื่นนึง แล้วก็ทำกรอบให้ พอตอนฉันจ่ายเงิน แกหันมาบอกฉันให้ M ฟังว่า "ต่อไปเธอจะต้องรวยแน่ๆ" แหม มีกัดกันด้วย ฉันก็ไม่ได้โกรธหรอก ขำกลิ้งน่ะสิ

แล้วเราก็ไปที่ๆนัดเจอกับแอน ระหว่างทาง ได้กินไอติมของนิวซีแลนด์ (เสียดาย จำยี่ห้อไม่ได้แล้ว)ที่มาเปิดสาขาที่เกาหลี เห็นคนกินเยอะท่าทางน่าอร่อย พอลองสั่งรสแม็คคาเดเมี่ยใส่โคนมากินดู รสชาติดีมากๆเลย เป็นไอติมยี่ห้อที่อร่อยที่สุดที่ฉันกับ M เคยกินมาเลย โคนก็อร่อยมาก ขนาดฉันปกติเกลียดโคนนะ ยังว่าอร่อยเลย อร่อยกว่า ฮาเก็นดัส มาก

แล้วเราก็เปิดปฏิบัติการ ตามล่าหาเนื้อย่างเกาหลีกัน พรุ่งนี้จะกลับแล้ว ต้องกินให้ได้เลย เดินดูแถวๆสยามของเกาหลี มีร้านเนื้อย่างเต็มไปหมด แต่ว่ามีเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นไว้ด้วย Mทำท่าหวั่นๆ แต่ว่าเราก็ยังไม่รู้ พอเดินเข้าไปร้านนึง ซึ่งมีภาษาญี่ปุ่นเขียนไว้หน้าร้าน เห็นมีรูปอาหารดูน่ากิน มีคนกินเต็มร้านพอสมควร พอเดินเข้าไป เค้าก็เอาเมนูมาให้ดู เห็นราคาแล้วตกใจ คือเนื้อย่าง คาลบี้ (ส่วนติดกระดูก) นึกว่าชุดละ สองหมื่นวอน ที่แท้หัวละ กินได้ไม่กี่คำ ถ้ากินจนอิ่มคงราคาแพงกว่ากินที่ญีปุ่น เราเลยปิดเมนู แล้วตัดสินใจเดินออกมาจากร้านกัน คนขายก็ดีนะ ไม่ได้ตะโกนด่า เค้าก็ยิ้มแย้มไม่ว่าอะไรที่เราเดินออก ฉันก็สังเกตุว่า หน้าร้านมีสัญญลักษณ์บัตรเครดิตเต็มเลย ราคาคนญี่ปุ่นกับคนเกาหลีคงต่างกันแน่เลย ไม่งั้นคนเกาหลีคงเข้าไปกินที่ร้านนี้ไม่ไหวหรอกนะ แต่ก็เห็นมีคนเกาหลีกินเต็มไปหมดนี่

จากนั้นเราก็เมียงมองร้านแถวๆนั้น ซึ่งก็มีแต่รับบัตรเครดิตทั้งนั้นเลย ราคาก็พอๆกันร้านที่เราเดินออกมา เลยตัดสินใจออกจากสยามกัน แล้วไปยังตลาดเมียงดอง เพื่อตามล่าหาเนื้อย่างกันต่อ เดินเข้าไปในซอยหน่อน ก็เห็นร้านเนื้อย่าง ร้านนี้ก็มีภาษาญี่ปุ่นเหมือนกันนะ แต่ว่าไม่มีสัญลักษณ์บัตรเครดิตติด เลยเลือกเข้าไปกินกัน เค้าก็เอาเมนูมาให้นะ แต่ว่าท่าทางจะพลิกเอาราคาซ่อนไว้ข้างหลังน่ะ พวกเราก็พยายามแงะดูราคา คนเสริฟผู้หญิงเค้าเลย บอกว่า ราคาก็ที่โดนปิดไว้เนี่ยแหละ ราคาก็พอรับได้นะ ไม่ถูกเหมือนกินหมูย่างที่ต่างจังหวัด ก็มันเนื้อนี่นะ แล้วก็กินในเมืองหลวงด้วย สั่ง เนื้อคาลบี้ ที่ติดกระดูกมา มันก็เป็นเนื้อย่างที่เค้าเอามีดมาตัด ให้ แล้วก็ห่อผักกิน กินกับน้ำจิ้ม สั่งบุลโกกิมาด้วย รสชาติคล้ายๆกับสุกี้ยากีของญี่ปุ่นนะ แต่ว่ารสอ่อนกว่า(ที่กุ้งถามว่าสุกี้ญี่ปุ่นน่ะมีรสเหรอ ขอตอบว่ามีรสมากกว่าบุลโกกิอีกนะ) แล้วก็สั่งเนื้อส่วนตะโพกมาด้วย เป็นก้อนๆเหมือนเสต็กน่ะ วิธีกินก็เหมือนคาลบี้น่ะนะ เนื่องจากฉันเป็นคนที่ค่อนข้างเซ็นซิทีฟ กับกลิ่น แล้วก็เนื้อสัตว์ ถ้าหมูหรือเนื้อมีกลิ่นคาว ฉันจะรู้สึกเร็วมาก บอกได้เลยว่าหมู ของเกาหลีอร่อยมาก ไม่เหม็นคาวเลย แต่ว่าเนื้อย่าง เนื้อเกาหลี เหนียวนิดหน่อยนะ แล้วก็คาว แต่ว่าเทียบกับเนื้อไทย แล้วแน่นอนว่านุ่มกว่า เทียบกับเนื้อแถบฝรั่ง ก็คงพอๆกัน แต่ว่าเนื้อวัวของญี่ปุ่นนี่นุ่ม และอร่อยมากสมกับราคาแพงมาก (บางร้านในญี่ปุ่นก็มีคาวเหมือนกัน มักจะเป็นเนื้ออิมพอร์ตจากอเมริกาซึ่งถูกกว่า)

แล้วก็ไปเดินตลาดเมียงดองตอนกลางคืน กะว่าจะซื้อของฝาก พวกสาหร่าย(สาหร่ายเกาหลีอร่อยมาก มีรสเกลือกับน้ำมันงาหอมๆเค็มๆ) กับกิมจิน่ะ เดินไปเดินมา เจอพ่อหนุ่มเจ้าของร้านๆนึง ออกมาเรียกลูกค้า พอเราบอกว่าเป็นคนไทย เค้าก็รีบพูดภาษาอังกฤษ ชวนคุยอย่างเมามัน รินน้ำชามาแจก พอต่อราคาอะไร แกก็ลดให้หมดเลยนะ พร้อมกับหาอะไรโน่นนี่ มาให้กินมาให้ชิมเยอะแยะ ไม่มีโกรธหรือหน้าบึ้งเลย ถ้าต่อมาก แกก็จะทำท่าตกใจ แล้วเอาของมาแถมให้เพิ่มแต่ว่าก็ลดให้นะ หมีบอกว่า เค้าคงจบมาทางด้านการตลาด ขายเก่งมาก แล้วก็ทำให้ลูกค้ามีความสุข เราซื้อของร้านเค้าอย่างมีความสุขจริงๆ อาจจะแพงกว่าร้านอื่น(อันนี้ก็ไม่รู้เพราะว่าไม่ได้ไปแห่ดู) แต่ว่าพอใจมาก ไม่ต้องทะเลาะกับพ่อค้าหน้ายักษ์ (ฉันหลุดพูดภาษาญี่ปุ่นออกไปด้วย ตอนต่อของกับแก) แกบอก เฮ้ย!ทำไมรู้ภาษาญี่ปุ่นด้วย ฉันก็รีบกลบเกลื่อน ว่าอ้าวรู้มาผิด นึกว่าภาษาเกาหลี (ตายเลย เดี๋ยวไม่ยอมลด)


แล้วก็ไปเดินซื้อโน่นซื้อนี่ ท่องคาถา kaka juseyo (แปลว่า ลดให้หน่อยนะคะ) ไปตลอด พยายามทำสำเนียงให้ yo ยาวๆแบบคนเกาหลี พ่อค้าจะประทับใจมาก ต่อมาได้เยอะเลย :D มีอยู่ตอนนึงนะ น้องหมีเลี้ยงเมล่อน พวกเราแล้วชวนเอาเมล่อนเสียบไม้มาชนกันเหมือนชนแก้ว แล้วพูดคัมไป ดันพูดกันเสียงดังกลางตลาด พ่อค้า หันขวับมากันใหญ่ รีบถามว่าคนญี่ปุ่นรึ (ประมาณว่า หมูมาแล้ว) :P

แล้วก็กลับโรงแรม ไปตอนตีหนึ่งกว่าได้ ฉันบอกว่าจะกินไก่ตุ๋นโสมให้ได้ ทุกคนก็เหนื่อยมากแล้วล่ะ แล้วก็คงยังอิ่มกับเนื้อย่างอยู่ แต่ว่าก็พยายามเดินหากับฉันด้วย ที่แถวๆโรงแรม (ถึงหาเจอ ก็ให้มันกินคนเดียว ทุกคนคงคิดอย่างนั้น) ปรากฎว่าไม่มีล่ะ เสียดายจังเลย กุ้งอุตส่าห์แนะนำ แล้วแอนที่เคยกินแล้วก็บอกว่าอร่อยมากด้วย

วันต่อมาก็เดินทางไปยังสนามบินอินจอนกันแต่เช้า ก็ยังอุตส่าห์ช๊อปปิ้งหยาดสุดท้ายที่สนามบิน ได้เครื่องสำอางค์กันมาก (ฉันกับแอนน่ะ เงินวอนหมดต้องจ่ายเป็นเงินเยนแล้ว) เป็นทริปที่นอนน้อยมาก(กลับมาเป็นหวัดซม ป่านนี้ยังไม่หายเลย) แต่ว่าก็สนุกมากเลย ชอบเกาหลี คงกลับไปอีกแน่นอน


ขออวดรองเท้ากับดาราหน่อย

previous - next